วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เพลงฮิต...ที่คิดถึง

บทเพลงที่ชื่นชอบบ่งบอกความสุนทรีย์ในจิตใจ และยังบ่งบอกรสนิยมรวมถึงยุคสมัยด้วย ฉันได้รวบรวมบทเพลงเก่าสมัยยังเรียนมัธยม โดยมีเพื่อนๆ และน้องสาวช่วยคิด ปรากฏว่าได้มากมายเกือบร้อยเพลงเลยทีเดียว บางเพลงฟังแล้วนึกถึงเพื่อนเก่า บางเพลงก็นึกถึงเหตุการณ์สนุกๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้น แถมในมิวสิกวีดีโอบางเพลง เราเห็นนักแสดงเด็ก (ในอดีต) ที่ปัจจุบันเค้าเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็มี แล้วคุณผู้อ่านล่ะคะ ฟังเพลงเหล่านี้แล้วคิดถึงอะไรกันบ้าง ?


สัญญาหน้าฝน : คาราบาว http://www.youtube.com/watch?v=F7Um9Au_-h0&feature=related










หัวใจสะออน : อัสนี วสันต์
http://www.youtube.com/watch?v=zhPwS3jKL6E

ให้เธอ http://www.youtube.com/watch?v=8r6MN2H-bUY





ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ : อินคา http://www.youtube.com/watch?v=6h5SIpMFYNk







ฟังซิฟัง : ใหม่ เจริญปุระ http://www.youtube.com/watch?v=zvrML-BkZSk








เท้าไฟ : ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง
http://www.youtube.com/watch?v=IbjtgsMuGhk





ฝากเลี้ยง : เจ เจตริน http://www.youtube.com/watch?v=P3egkHJscEE&feature=related






พลิกล็อค : คริสติน่า อากีล่าร์
http://www.youtube.com/watch?v=aP9JFujIy4Q






ไม่รักแต่คิดถึง : เฉลียง http://www.youtube.com/watch?v=kvxjquWHh_I




แนะนำเพลงฮิต ที่คุณคิดถึงมาได้อีกที่ email : paigingun@gmail.com

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โครงการมือสอง เพื่อน้องและเพื่อน


สัปดาห์ที่ผ่านมาฉันมีโอกาสเปิดร้านแบกะดินหน้าบ้านพี่นันท์ ซึ่งเป็นร้านขายยาชื่อ"พลไพศาล" ในเครือสหพัฒน์ โดยสินค้าที่นำมาขายเป็นเสื้อผ้าใช้แล้วที่ยังอยู่ในสภาพดี ไม่ใช่ของคนอื่นคนไกลเป็นของฉัน และครอบครัวพี่นันท์นั่นเอง
พ่อกับแม่ฉันถามว่านึกสนุกอะไรขึ้นมาจึงได้มาขายเสื้อผ้ามือสอง ??? จริงๆ แล้ว เหตุเนื่องมาจากทุกปี ฉันและเพื่อนๆ จะรวบรวมเสื้อผ้าและของใช้อื่นที่อยู่ในสภาพดี แต่ไม่เป็นประโยชน์กับเราแล้ว เอาไปตระเวนบริจาคตามสถานสงเคราะห์และมูลนิธิทั่วประเทศไทย (ปีที่แล้วมีคุณน้อง พิมพ์มณีช่วยเป็นแม่งานใหญ่) แต่ปัญหาที่เราพบและนำมาวิเคราะห์คือ
1. มีผู้บริจาคเสื้อผ้ามากมาย จนล้น และเกินความจำเป็นที่สถานสงเคราะห์ต่างๆ ต้องใช้
2. เมื่อมีผู้บริจาคมากเกินไป จึงกลายเป็นภาระของวัดหรือสถานที่นั้นๆ ในการดูแลรักษา และหาที่เก็บไม่ได้
3. เสื้อผ้าที่บริจาคมักเป็นของชาวกรุงซึ่งเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้ที่เรานำไปบริจาค น้องๆ เหล่านั้นจึงใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่

สิ่งที่ขาดแคลนจริงๆ คือในเรื่องของเงินทุน เพื่อพัฒนาสถานที่และบุคลากรเพื่อการฝึกอาชีพ
แต่สิ่งที่คนชอบบริจาคกันคือเสื้อผ้า ฉันจึงมีความคิดว่าเราน่าจะแปลงเสื้อผ้าเป็นเงินเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละสถานที่ได้
งานเฉพาะกิจ "แบ กะ ดิน" หน้าบ้าน จึงเกิดขึ้น



ขายในราคาถูกมาก เพียงตัวละ 20-50 บาทเท่านั้น
ใช้เวลาเฉพาะช่วงหัวค่ำ ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ได้เงิน 6,860 บาท !
สิ่งที่ได้จากงานนี้คือ
1. เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเงินในเวลารวดเร็ว
2. น้องริต้าได้ประสบการณ์การค้าขายเล็กๆ น้อย ๆ (ปกติเรียนเภสัชฯ )
3. ได้รับคำขอบคุณจากลูกค้า อันนี้ปลื้มมาก เพราะมีคนมาขอบคุณที่ทำให้เค้าได้ใช้ของดี แต่ราคาถูก (มาก) เพราะหลายตัวเป็นเสื้อผ้าตัวละหลายร้อยบาท แต่ขายเพียง 30 บาท

คุณบุญรักษาและฉัน จึงคิดว่าปีนี้เราจะรับบริจาคเสื้อผ้าและของใช้มือสอง เช่นกระเป๋า รองเท้า ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพดี แล้วนำไปขาย โดยรายได้จากการขายจะกระจายกันทำประโยชน์ต่อไป
ดูรายละเอียดได้ที่ เวป ลานธรรม ---> สมาชิกสัมพันธ์ "กระทู้ โครงการมือสอง เพื่อน้องและเพื่อน"
รับบริจาคตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นปี
กรุงเทพฯ โทร. คุณน้อง 081 820 7951
ชลบุรี คุณกานต์ 089 935 9532
รับสมัคร อาสาสมัครแม่ค้าจำเป็น ไม่จำกัดเพศและอายุค่ะ โทร ปุ๊ก 086 394 511 มีค่าตอบแทนให้เล็กน้อย แต่ได้บุญมากค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รถไฟฟ้า....มาหานะเธอ

ชั่วโมงนี้คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหน ดังเกิดหน้าเกินตาเรื่องนี้แน่นอน





จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก่อนลงฉายอยู่ที่นักแสดงนำ เคน ธีรเดช ชื่อเสียงและรางวัลต่างๆ ที่เขาได้รับ การันตีฝีมืออยู่แล้ว โดยเฉพาะในด้านที่ว่า'เคน' เป็นชายหนุ่มที่มีผู้หญิงอยากใกล้ชิดมากที่สุดในประเทศไทย! ฉันไม่แปลกใจเลยทันทีที่หนังเรื่องนี้เข้าฉาย ก็สร้างรายได้ถล่มทลาย ทำลายสถิติหนังไทยที่เข้าฉายวันแรกไปสูงถึง 15 ล้านบาท วันนี้ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ตีตั๋วไปดูกับเค้าบ้าง ด้วยมีเวลาว่างประมาณ 3 ชั่วโมงหลังจากไปหาลูกค้าตอนช่วงเช้า แล้วก็รอปฏิบัติภารกิจหนึ่งตอนช่วงเย็น (แล้วจะมาเขียนในบันทึกครั้งหน้าค่ะ)



อย่างที่เกริ่นในตอนแรกว่าจุดเด่นของหนังอยู่ที่พระเอก แต่เมื่อหนังจบลงความรู้สึกของฉันกลับให้ความสนใจและเทคะแนนให้กับนางเอก เหมยลี่ (คริส หอวัง)





ความเป็นธรรมชาติของคริสหรือที่คนสมัยนี้เรียกกันว่า "ไม่เฟค" นั้นน่าจะเป็นคำจำกัดความที่เหมาะสมกับเธอคนนี้มากที่สุด คริสสามารถเปลี่ยนความรู้สึกคนดู จากผู้หญิงที่จืดชืดและมีความสวยในปริมาณจำกัด ให้เป็นความน่ารักแบบติดดินและจริงใจออกแนว "โก๊ะๆ " หน่อย มันทำให้ฉันเห็นว่า ความมีเสน่ห์และความสวยของผู้หญิงคนหนึ่งจะดูดีและมีคุณค่าที่สุดตอนที่เธอ "เป็นตัวของตัวเอง"



ตามท้องเรื่อง หนังดำเนินไปแบบเป็นธรรมชาติที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแอบหลงรักชายในฝัน จะพยายามทำทุกวิถีทางให้เธอปรากฎต่อคลองจักษุของชายคนรักบ้าง แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้เสแสร้งจนหมดความเป็นตัวของตัวเอง เธอยังคงแต่งตัวแบบเดิม ใช้กระเป๋ารองเท้าแบบเดียวกับที่เจอกันครั้งแรกๆ พูดจาขวานผ่าซาก และมีแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ถึงแม้เหมยลี่จะเป็นฝ่ายเดินหน้ารุกพระเอก แต่ก็มิได้โอเว่อถึงขั้นหมดความเป็นหญิงไทย





ในตอนท้ายเรื่องก็มาเฉลยกันว่า ชายหนุ่มที่มีแต่ผู้หญิงกรี๊ดด้วยความเสน่ห์หานั้น ให้ความสำคัญและเฝ้าแอบมองเธอมาตลอด และเค้าก็สารภาพรักกับเธอด้วยการกระทำที่มากกว่าคำพูด นั่นคือการกลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และออกจากเงามืดในยามราตรี มาสู่โลกสว่างในตอนกลางวันเพื่อจะมี "เวลา" ให้กับเหมยลี่ที่เค้ารัก สุดท้ายหนังก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งตามแบบฉบับหนังไทย แต่สิ่งที่ฉันได้กลับบ้านวันนี้นอกจากความบันเทิงแล้วยังได้แง่คิด ในเรื่องการวางตัวของนางเอกเหมยลี่ สาวไทยเชื้อสายจีนที่แม้จะหลงรักและคลั่งไคล้พระเอกแบบออกนอกหน้าจนเป็นประโยคฮิต "ผู้ชายคนนี้พี่ขอ" แต่เธอก็มิได้ประพฤติตัวนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับใช้ "ความดี" เอาชนะใจพระเอกสุดหล่อได้ ฉันหวังว่านี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่วัยรุ่นไทยควรยึดปฏิบัติและเอาเป็น "ไอดอล" หญิงยุคใหม่ ที่ใช้ความดีเอาชนะใจคนรัก รถไฟฟ้า มาหานะเธอจึงจะเป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่น่าติดตามมากไปกว่าเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป....



ภาพประกอบ http://www.thaicinema.org/kits157rodfai.asp

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปณิธาน....ฅ.ฅนอาสา

"เกิดมาทั้งที ทำดีให้ได้
จะตายทั้งที ทำดีไว้เทอด"



หลังจากติดต่อพูดคุยกันทางอีเมลแล้ว พวกเรา เอี่ยว ปุ๊ก ป๋า(เร) ก็นัดเจอกันที่ฮาร์เบอร์มอลล์

'เอี่ยว' ผู้คร่ำหวอดในวงการอิเลคทรอนิคส์เป็นงานหลัก หากแต่ เมื่อเอ่ยนาม "บักเอี่ยว" ฉันกลับนึกถึงความเป็นจิตอาสาและมาดนักบิดของเขา มากกว่าภาพการเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ในบริษัทชื่อดังของญี่ปุ่น เพราะไม่ว่าครั้งใดที่มีโอกาสสนทนากันก็ตาม เอี่ยวมักพูดคุยถึงประสบการณ์ของการเดินทาง และการเป็นอาสาสมัครในนาม "บักเอี่ยว ฅ.ฅนอาสา" ซะเป็นส่วนใหญ่


วันนี้ก็เช่นกัน ฉันพอเดาเรื่องออกเมื่อได้รับโทรศัพท์คอนเฟิร์มจากเค้าในตอนเช้าว่าจะผ่านมาแถวบ้าน และอยากเจอกัน ฉันจึงไม่แปลกใจที่หัวข้อสนทนาของเรายังวนเวียนในเรื่องของการเป็นผู้นำชุมชน และการเล็งเห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเช่นเดิม

เมื่อพบหน้าและทักทายกันเล็กน้อย เอี่ยวได้อวดเครื่อง ipod รุ่นล่าสุดที่เพิ่งไปถอยมาพอหอมปากหอมคอฉันก็เรียกร้องให้ทุกคนตรงดิ่งไปร้านพิซซ่าทันทีเพราะหิวมาก...

เอี่ยวเล่าว่า...หลังจากเรียนจบโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC รุ่น 4 ) เค้ายังคงทำงานประจำอยู่ แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งความฝันเดิม นั่นคือ ปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะพัฒนาชุมชุมในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเลย ซึ่งเป็นบ้านเกิดและมีทรัพยากรธรรมชาติรวมถึงบุคลากร ที่มีศักยภาพอยู่ไม่น้อย แต่ยังขาดผู้นำชุมชนที่มีความรู้และพร้อมเสียสละเพื่อพัฒนาหมู่บ้านและส่งเสริมอาชีพท้องถิ่น และนี่เองที่เป็นเป้าหมายหลักของเค้าในการเข้ามาเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ในการเรียนหลักสูตร NEC (New Entrepreneurs Creation) ปณิธานอันแน่วแน่และแตกต่างจากผู้ร่วมเรียนคนอื่นๆ ในชั้น ทำให้ฉันจดจำเค้าได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีโอกาสได้แนะนำตัวกันในห้อง

จากความฝันเดินทางสู่จุดหมาย......ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ของชุมชนภาคอีสาน พอมีการศึกษาก็ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในเมือง ทำงานรับจ้างบ้าง พนักงานในบริษัทห้างร้านบ้าง โดยหลงลืมคนที่บ้าน และที่สำคัญ ลืมไปว่าที่บ้านเกิดนั้น เป็นแหล่งทรัพยากร และวัฒนธรรมที่ดีงาม ควรค่าแก่การดำรงไว้และสามารถพัฒนาให้เกิดรายได้เป็นอาชีพเลี้ยงตัว เอี่ยวจึงตั้งปณิธานว่าเค้าอยากเป็นผู้ประสานรอยต่อระหว่างความมีศักยภาพ และความพร่องไปของวิถีชุมชุนให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ความฝันอันใกล้ของเอี่ยวคือการไปพัฒนาหมู่บ้านและบุคลากรในชุมชน เพื่อรองรับการทำ Home stay (ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวและพักผ่อนโดยอิงวิถีความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น) และการเพิ่มผลผลิตไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเกษตรกรรมและ อุตสาหกรรมในครัวเรือนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมีป๋าเรเป็นพี่เลี้ยง และที่ปรึกษา

วันนี้หลังจากที่พวกเราเรียนจบ เอี่ยวจึงคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะนำความรู้บวกประสบการณ์ที่มีทั้งหมดผนึกเข้ากับความฝันและแรงบันดาลใจที่ต้องทำให้เป็นจริงให้ได้......

ภาพชุมชนเล็กๆ โอบล้อมไปด้วยภูเขา และม่านหมอกเป็นสาย ถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มและความหวังในแววตาของเขาในวันนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันนำเรื่องราวเล็กๆ ที่เราคุยกันมาบอกเล่าผ่านตัวอักษรในบล็อคให้ท่านที่แวะมาเยือนร่วมเป็นกำลังใจให้เขาสานฝันให้สำเร็จต่อไป.....


แวะไปชมบล็อคของเอี่ยว ฅ.ฅนอาสาได้ที่
http://konarsa.blogspot.com/
http://maprawgaewotop.blogspot.com/

เวปอ้างอิง NECBUU 4

http://nec4-2552.blogspot.com/

http://nec4.niceboard.net/

http://nec4-2552-member.blogspot.com/

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ครั้งหนึ่ง...ที่อัมพวา





บ่ายวันเสาร์ที่ 3 ต.ค. 52 ฉันและครอบครัวพี่นันท์เคลื่อนพลทั้ง 7 คน จากลำลูกกามุ่งหน้าสู่สมุครสงครามโดยมีจุดหมายคือ "อัมพวา" แหล่งท่องเที่ยวริมน้ำที่หลายคนเล่าขานและอยากไปสัมผัสกับบรรยากาศของตลาดริมคลองและแหล่งของกิน ของฝากมากมาย

บรรยากาศตลาดน้ำริมคลองยามบ่าย ผู้คนทยอยกันเข้ามาสัมผัสกลิ่นอายการค้าขายแบบเมื่อครั้งอดีตของไทย

มากมายหลายรสชาติให้เลือก เห็นแล้วอดใจไม่ไหว จึงประเดิมอาหารมื้อบ่ายวันนั้นด้วยกุ้งเผา และไข่ปลาหมึกย่าง อืม..ม์ อร่อยล้ำจริงๆ


จุดเด่นของอัมพวานอกจากความเป็นตลาดน้ำแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของกินของใช้ ที่แสดงความเป็นไทยโบราณ อย่างเช่น เตาขนมครกแบบโบราณซึ่งหาชมได้ยาก เพราะตอนนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่เตาแบบใหม่ทำจากโลหะเคลือบเคมี ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ทำจากดินเผาที่นอกจากจะปลอดสารพิษแล้ว ยังทำให้ขนมครกหอมชวนชิมอีกด้วย




เมี่ยงคำประยุกต์ นำมาเสียบขายเป็นไม้เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยวในการลิ้มรส.....เห็นแล้วก็นึกถึงยาย สมัยฉันเป็นเด็กๆ ยายชอบทำเมี่ยงคำเป็นอาหารว่างเพื่อให้พวกเราพี่น้อง 5-6 คน ล้อมวงกินกัน



อะไรเอ่ย ???



เฉลย : ดูเผินๆ ตอนแรกคิดว่าร้านนี้ขายปลาทูเสียอีก พอเข้าไปดูใกล้ๆ จึงรู้ว่าขายเสื้อยืด จุดเด่นที่สร้างความแตกต่างคือการสกรีนเสื้อเป็นรูปปลาทูและบรรจุในเข่งปลาทูจริง (ปลาทูเป็นอัตตลักษณ์อย่างหนึ่งของสมุทรสงคราม) และยังมีสกรีน "อัมพวา" อีกด้วย ติดป้าย "ขายพร้อมเข่งเพียง 129 บาทเท่านั้น"




เพื่อนๆ ที่ไปด้วย ต่างเข้าไปรุมแย่งกันซื้อ มากกว่าคนละ 1 ตัว เพื่อใส่เอง และไปเป็นของฝากที่ดูดีมีสไตล์ เป็นไอเดียบรรเจิดในการเพิ่มยอดขายเมื่อเทียบกับร้านอื่นที่ผู้ซื้อมักซื้อเพียงคนละ 1 ตัวเท่านั้น



อีกหนึ่งความคิดสร้างสรรค์ ตู้เย็นเก่าแก่ที่ใช้งานไม่ได้แล้ว นำมาประยุกต์เป็นชั้นวางเสื้อยืด




ร้านขายของที่ระลึกนี้อยู่ในคูหาแคบๆ ที่เข้าไปชมสินค้าได้เพียง 2 คนเดินสวนกันเท่านั้น ด้วยความที่อยู่ในซอยแคบๆ ทำให้คนอยากเดินไปสำรวจว่าเค้าขายอะไรกัน ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นกลยุทธ์บนความตั้งใจของผู้ขายที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คือ มีเนื้อที่น้อย แต่อาศัยจัดร้านให้สลัวๆ น่าค้นหา แถมลูกค้าที่เดินเข้าไปก็ต้องรีบเลือก รีบซื้อเพราะเกรงใจคนที่ต่อคิวรอเข้าไปเลือกซื้อเหมือนกัน .......บางครั้งทำเลที่ดูแย่ อาจเป็นทำเลที่ดีที่สุดก็ได้ ....




แล้วคนสวยที่ไม่เอาถุงลดเท่าไหร่คะ ?!!



โฉมหน้าของร้านขายเสื้อผ้าที่ติดป้ายลดราคาเมื่อกี้นี้ นับเป็นป้ายลายมือธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เพราะฉันเห็นสาวๆ หลายคนหยุดแวะอ่านโดยเฉพาะ "คนสวย" นอกจากร้านนี้จะมีจุดเด่นที่ป้ายลดราคาแล้ว ยังมีชื่อร้านสะดุดตาและคติธรรมสะดุดใจติดไว้รอบๆ ข้างในร้าน เพื่อปลุกจิตสำนึกของคนซื้อที่มีคุณธรรม ราวกับจะบอกว่า คนไร้คุณธรรมห้ามเข้า !


ร้าน "คงไว้" ที่เปลี่ยนงานอดิเรกของนักสะสมมาเป็นการสร้างรายได้ นอกจากจะทำในสิ่งที่รักให้เป็นอาชีพแล้ว ยังเป็นการแสดงความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย ......


ทิวทัศน์หน้าร้านอาหาร "กำปั่น" ของคุณโจ้ ที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยทั้งในเรื่องอาหารและชื่อร้าน (เห็นป้ายร้านภาษาอังกฤษ Kampan แล้วก็นึกถึงลูกชายที่ชื่อคำปัน : )



ปิดท้ายด้วยรถขายแซนวิชปลาทู หน้าลานจอดรถ นอกจากความอร่อยแล้ว อักษรข้างรถยังติดโฆษณาที่ดูคล้ายคำขู่แบบขำๆ ด้วย "ต้องไปกินให้ได้ในชาตินี้" ฟังดูแล้วทำให้รู้สึกเหมือน เสียดาย...ตายแล้วไม่ได้กิน

โบกมือลาอัมพวาเวลาเกือบเย็นผู้คนเริ่มหนาแน่น ท้องก็เริ่มหิวอีกครั้งเพราะทั้งเดินเลือกซื้อสินค้าและเก็บภาพประทับใจ จริงๆ แล้วอัมพวาเป็นตลาดที่คึกคักตอนเย็นและช่วงหัวค่ำ เพราะได้อารมณ์และสีสัน บรรยากาศอีกแบบหนึ่งซึ่งฉันไม่ได้อยู่ชมในครั้งนี้ จึงตั้งใจว่าจะต้องมีอัพวาภาคสองอีกแน่ๆ .....

ดูภาพอัมพวาและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.อัมพวา.net