วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

เที่ยวไม่ง้อทัวร์ฯ (3)


ตอน ชวนกันขึ้นดอย

จากตอนที่แล้วพาเที่ยววัดซึ่งได้ทั้งความสนุกสนาน และความสวยงามแบบโบราณไปแล้ว วันต่อมาเป็นวันที่ 3 ที่ฉันและคุณน้องได้พากันแบกกระเป๋าไปใช้ชีวิต (ชั่วคราว) กันที่เมืองเชียงใหม่ อากาศโดยรวมวันนี้ออกเย็นๆ ไม่ถึงกับหนาวอย่างที่ควรจะเป็น แต่คิดอีกทีก็ดีไปอีกแบบเพราะทำให้เราเที่ยวได้โดยไม่ทรมานกับอากาศมากนัก

วันนี้จึงตัดสินใจขึ้นดอยเพื่อชมธรรมชาติและสูดอากาศบริสุทธิ์ เพราะมาเชียงใหม่ทั้งทีไม่ได้ขึ้นไปเที่ยวดอยก็ดูกระไรอยู่ จากหนังสือเที่ยวเชียงใหม่นั้น ฉันพบว่าห่างจากตัวเมืองไม่ไกลมี "ดอยปุย" ที่ขึ้นชื่อลือชาและน่าไปยลยิ่งนัก ไม่รอช้าเช้าวันนี้เราหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยการถามไถ่คนท้องถิ่น ได้ความว่า ดอยปุยที่เราจะไปนั้นอยู่เลยขึ้นไปทางมอชอ (ม.เชียงใหม่) และยังมีสถานที่เที่ยวใกล้ๆ กันอีก 2 ที่คือ พระราชวังภูพิงคราชนิเวศน์ และดอยสุเทพ ซึ่งสามารถว่าจ้างเหมารถสองแถวให้ไปส่งได้ในราคาประมาณ 800 -1,000 บาท
ฉันและคุณน้องโชคดีที่เราไม่รีบร้อน ในฤดูเที่ยวอย่างนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นดอยเหมือนเราแน่นอน จึงใจเย็นนั่งดื่มกาแฟรอแถวๆ คิวรถ ชั่วเวลาเพียงแค่ 20 นาที ก็มีหญิงชายคู่หนึ่ง และนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกหนึ่งมาต่อราคาที่คิวรถเหมือนกัน ฉันไม่รอช้าเข้าไปแนะนำตัวและบอกว่าเราก็อยากไปเที่ยวดอย ทั้งสามคนนั้นแม้จะยังงงๆ กับการหาแนวร่วมของฉัน แต่ก็ยินดีร่วมทางไปด้วยและตอบตกลงไปคันเดียวกับเราทันที สรุปคือวันนี้เราเสียค่ารถกันเพียงคนละ 200 บาทเท่านั้น แต่ได้เที่ยวครบทั้ง 3 ที่ แถมได้เพื่อนใหม่ไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน (มากๆ ) อีกด้วย เพราะการไปเป็นกลุ่มย่อมสนุกและเพลิดเพลินกว่าไปเพียง 2 คนเป็นแน่ (ยกเว้นบางคู่ที่ต้องการไปฮันนีมูนกันนะคะ)

เริ่มต้นจากที่ไกลสุดก่อน คือ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ซึ่งอยู่บนยอดดอย สูงขึ้นไปประมาณ 22 ก.ม.

พระตำหนักภูพิงสวยเด่นเป็นสง่าท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์บนดอย



มิตรภาพของเพื่อนใหม่




อากาศดี ดอกไม้สวยงามค่ะ



ลั้นลา.....


บนดอยมีต้นไผ่ยักษ์ด้วย

ท่ามกลางธรรมชาติรื่นรมย์

ใช้เวลาอยู่บนพระราชวังภูพิงฯ ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ทั้งเดิน ทั้งถ่ายรูปกันจนเหนื่อย จากนั้นจึงยกพลทั้งห้า ขึ้นรถโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ "ดอยปุย"



ทันทีที่ถึงดอยปุย คุณน้องไม่รอช้าเช่าชุดชาวดอยแล้วแปลงร่างทันที ราคาเช่าเพียง 30 บาทเท่านั้น

มีน้องผู้ชายอายุประมาณ 9 ขวบ อาสาเป็นมัคคุเทศน์พาเราชมดอย ค่าจ้างแล้วแต่เราจะให้ ฉันชื่นชมในความขยันและมีใจช่วยทางบ้านทำมาหากินจึงตอบตกลงให้น้อง "พยัคเมฆินทร์" นำทางทันที

สถานที่แรกที่ไกด์สุดหล่อนำเราเที่ยวคือไร่ฝิ่น ซึ่งปลูกเพื่อทำวิจัย ไม่ได้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจเพราะผิดกฎหมายค่ะ

โฉมหน้า "พยัคเมฆินทร์" มัคคุเทศน์หนุ่มน้อยของเรา


ไร่ฝิ่น

จากนั้น เราเดินลัดเลาะไร่ฝิ่นไปที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไม้สอย รวมถึงอุปกรณ์การดำรงชีพของชาวดอยเมื่อครั้งอดีต


ภายในพิพิธภัณฑ์

"พยัคเมฆินทร์" เล่าว่า เครื่องมือโบราณเหล่านี้ ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว เพราะมีเครื่องมือสมัยใหม่มาช่วยในเรื่องเกษตรกรรม รวมถึงวิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ชาวดอยเค้ารู้จัก "อินเตอร์เน็ต" กันแล้ว ! เราจึงได้เห็นอุปกรณ์โบราณเฉพาะในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น

เท่าที่ฉันสังเกต ความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวดอยปุยไม่ได้ต่างกับชาวกรุงสักเท่าไหร่เลย เพียงแต่พวกเขายังต้องการคงไว้ซึ่งความเป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงมีการ "ตกแต่ง" วิถีชาวบ้านให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมพอหอมปากหอมคอ เช่น การแต่งชุดชาวเขา หรือการขายของท้องถิ่น แต่หากสังเกตดีๆ นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตประจำวันจริงๆ ซักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องยืนยันสัจธรรมที่ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา" เพราะโลกยุคนี้เป็นยุคไร้พรหมแดน ความเหลื่อมล่ำ และแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมจึงแคบลง และผันแปรไปตามเวลาที่ผันผ่านเช่นกัน......

ระหว่างทาง มีเด็กๆ เล่นเกมอะไรกันสักอย่าง ในจำนวนนี้มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลูกของชาวต่างชาติ เธอพูดภาษาอังกฤษ ในขณะที่เด็กคนอื่นพูดภาษาเหนือ แต่ก็เล่นกันได้อย่างสนุกสนาน และเข้าใจกันเป็นอย่างดี อย่างนี้คงต้องเรียกว่าน้องๆ กลุ่มนั้นใช้ "ภาษาใจ" สื่อสารถึงกัน !



แอบยืนดูน้องๆ เล่นด้วยความม่วนอ๊ก ม่วนใจ๋

เดินถึงน้ำตก บนผานั้นมีเกมยิงปืน (แบบที่เรียกว่าปืนผาหน้าไม้) ราคา 20 บาท ได้ 7 นัด เราผลัดกันยิง โดยเป้าหมายเป็นลูกมะละกอดิบแขวนอยู่ ปรากฎว่าใน 7 นัด ยิงโดน 4 นัด และหนึ่งในนั้นก็เป็นฝีมือฉันเอง ! (ฟลุกจริงๆ )

พอลงจากน้ำตกก็ได้เวลาขึ้นรถไปยังจุดหมายสุดท้ายคือ ดอยสุเทพ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เราอำลาดอยปุยด้วยการเก็บภาพความประทับใจอีกเล็กน้อย และไม่ลืมที่จะให้ค่าเหนื่อยกับ พยัคเมฆินทร์ไป 100 บาท ทำให้เขายิ้มแป้นและเดินจากไปด้วยอาการที่เรียกได้ว่า "เริงร่า" สุดๆ

พี่คนขับ ขับรถนำพวกเราทั้งห้ามาถึงดอยสุเทพเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ เกือบเย็นแล้ว เราจึงต้องรีบทำเวลากันโค้งสุดท้ายด้วยการกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันได (แต่หากใครไม่สะดวกเดินก็มีรถรางบริการค่ะ)


สู้ สู้

เนื่องจากมีการบูรณะพระธาตุฯ บนดอย ฉันจึงไม่ค่อยได้เก็บภาพมามากนัก ได้แต่เดินชมและไหว้พระเท่านั้นก็รู้สึกดีแล้ว หลังจากนั้นเราเดินลงจากดอยด้วยความรวดเร็ว เพราะพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าอีกคราหนึ่ง ที่สำคัญฉันและคุณน้องต้องเดินทางกลับด้วยรถทัวร์เที่ยว 2 ทุ่มครึ่ง จึงต้องรีบกลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม และไม่ลืมหาอะไรรองท้องก่อนมุ่งหน้าไปขึ้นรถทัวร์

เรื่องราวสนุกๆ กับ 3 วัน ณ เมืองล้านนา ยังมีอะไรที่ประทับใจฉันอีกมากมาย ตั้งใจไว้ว่าคราวหน้าจะมา "เก็บตก" เรื่องไม่เป็นเรื่องที่อยู่ในความทรงจำดีๆ ค่ะ

photo by Boonraksa & Buatong


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น