ตอน เรือหางแมงป่อง ล่องแม่น้ำปิงวันนี้ฉันจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวตะลุยแดนล้านนาค่ะ เป็นความเดิมต่อเนื่องจากนำสิ่งของและเงินไปบริจาคที่มูลนิธิบ้านดอกไม้ป่า ไหนๆ ก็ได้ออกจากบ้านแบบชอบธรรมแล้ว (เป็น ชอบ-ทำ มากกว่า) ฉันกับคุณน้องก็ตกลงใจกันว่า จะตะลุยในเมืองเชียงใหม่ให้หนำใจกันซะเลย ยิ่งเป็นช่วงฤดูหนาว (แต่จริงๆ ไม่หนาว) มีนักท่องเที่ยวมากมายแบกกระเป๋าขึ้นเหนือกัน ทำให้เราทั้งสองไม่เหงาแม้ไปกันเพียงสองต่อสองก็ตาม
เราตัดสินใจเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ตามชื่อเรื่อง อันที่จริงทัวร์ไม่ง้อเรามากกว่าเพราะมีกันแค่ 2 คนเท่านั้นเค้าเลยไม่จัดโปรแกรมให้เพราะเกรงว่าฉันและเพื่อนจะทำกรุ๊ปอื่นเค้าแตกตื่น เราก็เลยหาข้อมูลและเที่ยวแบบ back pack กัน เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ แผนการครั้งนี้ของเราก็คือ.....ไม่มีแผน plan is no plan !
นั่งรถไฟกันตั้งแต่เย็นวันศุกร์ครึ่งหลับครึ่งตื่นกันไปตลอดทาง จนไปเช้าที่สถานีรถไฟเชียงใหม่
จากนั้น รถเช่าที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าก็นำรถมาให้ตรงเวลาพอดิบพอดีที่ไปถึง เป็นรถ vios สีควันบุหรี่ เราก็ไม่รอช้าถามทางไปมูลนิธิดอกไม้ป่าพอเป็นพิธี แล้ว ตะบึงรถไปหาข้าวกินทันที !
อ้าว...นึกว่าจะไปมูลนิธิฯ เลย เปล่าค่ะ ก็แหม กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ถ้าไม่รีบหาอะไรรองท้อง ท่าทางฉันต้องตกเป็นเหยื่อของคนไปด้วยเป็นแน่แท้ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ฉันจึงจัดการหาร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางให้เธอหม่ำซะก่อน
หลังจากนั้นก็นำของไปบริจาค ตามที่ได้เล่าไปแล้วในครั้งก่อน
ไหนว่าจะมีเรือหางแมงป่องไง? ใจเย็นๆ ค่ะ กำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว........
หลังปฏิบัติภารกิจอันควร เลือกสถานที่ ที่ list ไว้คร่าวๆ จากหนังสือเที่ยวเชียงใหม่ เป็นอันว่าบ่ายวันนั้นเราจะไปล่องแม่น้ำปิง โดยเรือหางแมงป่องกัน ลั๊นลา มีความสุขจริง (โว้ย)
ด้วยวันที่เราไปเที่ยวเป็นวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง ชาวบ้าน (นักท่องเที่ยว) คนอื่นเค้าล่องกันไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยง ดังนั้น จึงมีเพียงฉันและคุณน้อง 2 คนเท่านั้นที่ตีตั๋วทริปบ่ายนี้ คุณลุงสมัครและภรรยา เจ้าของเรือ ก็ใจดีมากมาย บอกไม่เป็นไร สองคนก็ยินดีนำเที่ยว ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
ทันทีที่ออกเรือ คุณลุงสมัครก็ทำหน้าที่บรรยาย .......
สมัยก่อนเป็นเรือพาย ไม่มีเครื่องยนต์ตอนเรือออกจากท่า ต้องมีนายหัวเรือใช้เท้าถีบเพื่อเป็นแรงผลักให้เรือออกจากท่าโดยสะดวก และนี่คือที่มาของคำว่า "ถีบหัวส่ง"
จากนั้น คุณลุงก็บรรยายถึงเมืองเชียงใหม่ในสมัยก่อน โดยมีรูปภาพประกอบเป็นระยะๆ
แต่ละเรื่องราวที่บันทึกในความทรงจำของคุณลุง ฟังไม่เบื่อกันเลยทีเดียวค่ะ ทั้งเรื่องสะพานนวรัฐ วัดเกตุการาม เรื่องของโรงแรมเก่าแก่ในเมืองเชียงใหม่ โดยเฉพาะที่มาของเรือหางแมงป่อง ฯลฯ ล้วนกลั่นออกมาจากใจและความจงรักภักดีที่มีต่อแผ่นดินเกิดของคุณลุง
ลมเย็นตอนบ่ายแก่ ๆ กับอากาศที่กำลังดี ทำให้ฉันฟังเพลินและเริ่มหลงรักเมืองเชียงใหม่เข้าโดยไม่รู้ตัว
ระหว่างการล่องแม่ปิง คุณลุงมีเซอร์ไพรส์ด้วยการพาแวะชม Home stay แบบบ้านดิน เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่คุณลุงและภรรยาช่วยกันทำ
ภายในห้องพักบรรยากาศโรแมนติกมากๆ ราคาเริ่มตั้งแต่ 1,200 ขึ้นไปค่ะ
เปลยวนทำจากกระบอกไม้ไผ่ปล้องโต
น้ำพั้นซ์รสดีและข้าวเหนียวมะม่วง รับประทานระหว่างพักเหนื่อย
คุณลุงเล่าว่าช่วงปิดเทอม จะจัดกิจกรรมให้เด็กๆ จากเมืองกรุงมาเข้าค่ายที่บ้านดินแห่งนี้ เพื่อสอนให้เด็กๆ รู้จักใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พอเพียง และอยู่กับธรรมชาติ รับเด็กตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไปค่ะ
นาข้าวจำลองเอาไว้สอนเด็กๆ
อะไรเอ่ย ?
ที่แท้คือมะเขือเทศการ์ตูนพันธุ์จากเมืองนอก เด็กๆ ที่มาเข้าค่ายนึกสนุกเอาปากกามาวาดหน้าตาให้มัน ดูน่ารักและตลกดี
หลังจากเยี่ยมชมบ้านดิน ก็เป็นเวลาที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว เราทั้งหมดจึงขึ้นเรือหางแมงป่องกลับเข้าฝั่ง และปิดท้ายด้วยที่มาของคำว่า "เข้าท่า" !
อาทิตย์อัสดง ณ ริมน้ำแม่ปิง เป็นภาพที่งามจับใจฉันจริงๆ ค่ะ
ก่อนจะลากลับ คุณน้องและฉันได้ฝากกำลังใจให้กับมัคคุเทศน์ท้องถิ่น สองสามีภรรยาผู้มีความตั้งใจในการใช้ชีวิตแบบพอเพียง และพอดี ขอบคุณ สำหรับการล่องเรือกับช่วงเวลาที่แสนวิเศษนี้
หากเพื่อนๆ อยากสัมผัสบรรยากาศสบายๆ กับสายน้ำยามบ่าย ณ แม่ปิง ติดต่อได้ที่ โทร. 081 960 9398
สนนราคาเพียงแค่ท่านละ 300 บาทเท่านั้นค่ะ
Photo by Boonraksa & Buatong